นิสัยที่ทำให้สุขภาพจิตเสีย

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

บันทึก "นิสัยขี้ระแวง คนที่มีนิสัยขี้ระแวงนั้นเป็นคนที่ไม่เคยไว้วางใจผู้ใดเลย ใครจะทำอะไรจะคิดอะไรก็นึกคิดไปว่าเขามีความประสงค์ร้ายกับตน คิดว่าใครๆไม่รัก ไม่ให้ความสำคัญ ไม่นับถือ ระแวงว่าจะถูกทรยศ หักหลัง คนขี้ระแวงไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สวมบทบาทใดๆ ในชีวิตก็จะทำให้บทบาทนั้นเป็นบทบาทที่มีปัญหาและคนที่ได้รับควาทุกข์นั้นก็คือตนเองและผู้ใกล้ชิด ถ้าคุณเป็นเจ้านายคุณก็จะระแวงว่างานที่มอบหมายให้ลูกน้อง อาจจะทำไม่สำเร็จ ระแวงว่าสามีจะมีเมียน้อย ภรรยาจะมีชู้ ฯลฯ นิสัยระแวดระวังนั้นเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเป็นหวาดระแวงไปซะทุกเรื่องอย่างนี้คงแย่มากกว่า

คนที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง นิสัยไม่มั่นคงในตนเองมักจะสร้างความทุกข์เป็นอย่างยิ่ง ด้วยไม่รู้จักตัวเองว่าตนนั้นต้องการอะไรกันแน่ ชอบอะไร แบบไหน ควรวางตัวแบบไหนในสังคม ไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องต่างๆในชีวิตได้ ตั้งแต่เรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวันจนถึงเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ๆในชีวิต นิสัยขาดความเชื่อมั่นในตนเองใช่ว่าเจ้าของนิสัยจะชอบแต่ไม่อาจลบล้างความรู้สึกด้อยในใจตนเองได้ ทั้งที่ความรู้สึกที่ว่าตนเองนั้นต่ำต้อยแต่อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้

นิสัยกล่าวโทษผู้อื่นอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ในความผิดพลาดล้มเหลวที่ผ่านมาแล้วและสิ้นสุดไปแล้วถ้าคุณเป็นคนที่คอยแต่เพ่งโทษผู้อื่น เห็นว่าความผิดของคนอื่นนั้นยิ่งใหญ่เท่าภูเขา เป็นความผิดร้ายแรงไม่มีวันที่จะให้อภัยได้ มองเห็นแต่ความไม่ดี ความไม่ถูกต้อง ความไม่เหมาะสมในสิ่งที่ผู้คนรอบข้างของคุณทำ โดยไม่ได้มองด้วยใจที่เป็นกลางและเป็นธรรม มองอย่างที่ควรจะเป็นในสภาวะการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มองด้วยเหตุผล ฯลฯ ถ้าคุณมีนิสัยเช่นนี้ย่อมจะทำให้คุณทุกข์ทนและไม่มีความสุขแน่นอน เพราะคงไม่มีใครจะเป็นผู้ที่ไม่ถูกต้องดีงามสำหรับคุณทุกคนแน่

นิสัยหลีกหนีปัญหา หลีกหนีเหตุการณ์ หาทางออกให้กับตนเองอย่างผิดๆ เช่น การดื่มสุรา ใช้ยาเสพติด การเล่นการพนัน โดยคิดว่าการใช้สุรายาเสพติดจะเป็นการแก้ปัญหาแต่จริงๆ แล้วกลับเป็นการเพิ่มปัญหาให้มากขึ้นไปอีก กับบางคนอาจเป็นลักษณะไม่รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น พาลทะเลาะปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไขมิหนำซ้ำกลับทำให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อนเข้าไปอีก

นิสัยมองโลกในแง่ร้าย คนเช่นนี้จะเป็นคนที่มีชีวิตแต่ละวันด้วยความหดหู่เศร้าหมองด้วยเห็นว่าผู้คนรอบตัวนั้นต่างเป็นศัตรูของตนเอง เป็นผู้ที่คอยทำลายตนเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนต่างก็เลวร้ายทั้งนั้น เป็นคนที่คิดหรือมองคนในแง่ลบ คนที่มีจิตใจหมกมุ่นอยู่กับความอาฆาตแค้น ชิงชัง ริษยา จิตใจเช่นนี้หาความสงบไม่ได้แน่ ด้วยร้อนรนอยู่ด้วยความทุกข์ที่เกิดจากความคิดร้ายๆของตนเอง ด้วยจิตอาฆาตแค้นที่ไม่ยอมอภัยและคอยคิดทำร้าย ความร้อนของไฟริษยาที่คิดว่าคนอื่นๆ ล้วนดีกว่าตนทั้งนั้น ตนนั้นต่ำต้อยนัก มีทางใดที่จะเอาชนะหรือทำให้คนที่ตนเห็นเป็นศัตรูเดือดร้อน เจ็บปวดได้ก็จะทำ ถ้าคุณมีนิสัยอย่างนี้ก็จะมีแต่ความทุกข์ร้อนไม่หยุดหย่อน สำรวจพบเหตุแห่งทุกข์กันบ้างไหม ถ้ามีนิสัยเหล่านี้อยู่ก็ควรจะหาหนทางดับทุกข์ด้วยการ ปรับปรุงกาย ปรับปรุงใจเสียใหม่ มองโลกในแง่ดี มองคนรอบข้างอย่างเข้าใจว่าคนทุกคนล้วนแตกต่างกัน ผู้คนในโลกนี้ต่างมีนิสัยที่ดีและไม่ดีกันทุกคน มองในส่วนที่ดีของเขาหรือถ้าเป็นไปได้ยอมรับในส่วนที่ไม่ดีของเขา ปรับตัวในทางที่ถูกต้องในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

สุขภาพจิตที่ดี คือ ความสามารถที่จะปรับตัวให้มีความสุขอยู่กับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ดี มีสัมพันธภาพอันดีงามกับบุคคลอื่น ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความสมดุลอย่างสุขสบาย รวมทั้งสนองความต้องการของตนเองในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่มีข้อขัดแย้งภายในจิตใจ ความสำเร็จในการปรับตัวที่ดีย่อมจะทำให้คุณได้รับรางวัลแห่งชีวิต นั่นคือการเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตที่ดีและชีวีเป็นสุขนะจ๊ะ "

พลเรือตรีโสภณ บุญชม ผบ.นรข

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วันคืนล่วงไปๆ เรากำลังทำอะไรอยู่ ขณะที่เราอยู่อย่างนี้ เวลาไม่เคยรอใคร เวลาผ่านไปๆ ทุกขณะๆ วันคืนล่วงไปๆ ความตายเข้ามาใกล้ทุกขณะๆ จงพิจารณาดูชีวิตของตนว่า ...เรากำลังทำอะไรอยู่ สร้างประโยชน์ให้กับตนเองและต่อผู้อื่นแล้วหรือยัง สร้างประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ข้างหน้า ประโยชน์สูงสุดแล้วหรือยัง... คนเราตั้งแต่เกิดมาจนทุกวันนี้ ดิ้นรนแสวงหาแต่ความสุขกันทุกคน แต่มีใครบ้างได้พบความสุขที่แท้จริง หรือพอใจในชีวิตของตนจริงๆ ชีวิตของเราทุกวันนี้มันแข่งกับเวลา รีบร้อนตลอดเวลา แม้แต่เวลานอนก็ยังรีบร้อนอยู่ คิดนี่ คิดโน่น คิดไปทั่วทุกสารทิศทั้งใกล้ทั้งไกล รีบร้อนแสวงหาความสุข แต่ชีวิตเราสังคมเราดูๆ เหมือนจะสับสนวุ่นวาย ความเดือดร้อนรุนแรงมากขึ้นๆ ทุกวัน มนุษย์เราค้นคว้าหาความรู้มากขึ้นๆ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ฯลฯ ศาสตร์เหล่านี้ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามกาล ตามเหตุปัจจัย ทุกปีๆ คนเราส่วนใหญ่วิ่งตามแต่ตามไม่ทัน หมดแรง หมดหวัง สับสนวุ่นวาย ศาสตร์เหล่านี้ไม่เคยช่วยเราให้มีความสุขที่แท้จริงไ ด้ ศาสตร์หนึ่งที่พวกเรามองข้ามไปคือ พุทธศาสตร์ นั่นเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระบรมครูของเ รา ตรัสรู้มาเป็นเวลา 2583 ปี ก่อนโน้น พวกเราจำนวนมากมักจะดูหมิ่นดูถูกมองข้ามไป เห็นว่าเป็นเรื่องเก่าแก่ล้าสมัย แต่ความจริงคำสั่งสอนของพระองค์นั้น เป็นสัจจะความจริงไม่เปลี่ยนตามกาล ใครประพฤติปฏิบัติถูก และเข้าไปรู้เข้าไปสัมผัสแล้วก็จะเหมือนกัน รู้แล้วก็ทั้งตื่นและเบิกบานใจมีความสุข จนแม้กระทั่งความสุขอย่างยิ่ง ตามที่ท่านกล่าวไว้ว่า..... ...นิพพานัง ปรมัง สุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง...ขอบคุณข้อมูลจากจันทน์เจ้าขาดอทคอม

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

14 สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเรา

1. ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตเรา คือ ตัวเราเอง
The most formidable enemy in ones life is oneself

2. ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอวดดี
The biggest failure in ones life is self-important.
3. การกระทำที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตเรา คือ การหลอกลวง
The unwiset act in ones life is deceit.

4. สิ่งที่แสนสาหัสที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอิจฉาริษยา
The most miserable act in ones life is jealousy.

5. ความผิดพลาดมหันต์ที่สุดในชีวิตเรา คือ การยอมแพ้ตนเอง
The gravest mistake in ones life is self-abundonment.

6. สิ่งที่เป็นอกุศลที่สุดในชีวิตของเรา คือ การหลอกตัวเอง
The most sinful act in ones life is self-deception.

7. สิ่งที่น่าสังเวชที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การถดถอยของตัวเอง
The most pitiful temperament in ones life is self-abasement.

8. สิ่งที่น่าสรรเสริญที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความอุตสาหะวิริยะ
The most admirable spirit in one's life is perserverance.

9. ความล้มละลายที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความสิ้นหวัง
The most complete bankruptcy in one�s life is despair.

10. ทรัพย์สมบัติที่มีค่าที่สุดในชีวิตเรา คือ สุขภาพที่สมบูรณ์
The greatest wealth in ones life is health.

11. หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ หนี้บุญคุณ
The heaviest debt in ones life is a debt gratitide for others help.

12. ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ การให้อภัยและความเมตตา
The groundest gift in ones life is forgiveness and kindness,

13. ข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตเรา คือ การมองโลกในแง่ร้ายและไร้เหตุผล
The biggest shortcoming in ones life is permissism on unreason.

14. สิ่งที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจมากที่สุด คือ การให้ทาน
The greatest gratification in ones life is alms giving

แหล่งที่มาจาก FW

โรคเกาต์ วิธีรักษาด้วยตนเอง

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551

@@@@คุณรู้ไหมว่าความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาการกินของเรา เพราะว่าถ้ากินไม่ดีก็เกิดโรคต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น แต่ถ้ารู้จักเลือกกินให้เหมาะสม จะทำให้คุณสามารถห่างไกลโรคได้ ซึ่งโรคเกาต์ก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่เกิดจากปัญหาในเรื่องอาหารการกิน วิธีการป้องกันและบรรเทาอาการเจ็บป่วยจากโรคเกาต์ที่ดีที่สุดคือ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง เพราะว่าจะทำให้เกิดการอักเสบของข้อขึ้นอีก

@@@@โรคเกาต์ เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการปวดตามข้อชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของกรดยูริกภาย ในข้อ และประกอบกับการที่มีปริมาณกรดยูริกสูงด้วย คนแต่ละวัยก็มีระดับกรดยูริกในเลือดที่แตกต่างกันได้ เช่น ผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือนที่จะมีระดับกรดยูริกในเลือกสูงกว่าคนในวัยอื่น ๆ และนอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ชายมีโอกาสเป็นโรคเกาต์มากกว่าผู้หญิงอีกด้วย

@@@@โดยปกติแล้วร่างกายจะได้กรดยูริกมาจาก 2 แหล่งคือ 1. ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง โดยการสลายตัวของเซลล์ตามอวัยวะต่าง ๆ แต่ในบางคนที่ป่วยเป็นโรค เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว ธาลัสซีเมีย จะทำให้มีการสลายตัวของเซลล์ในร่างกายที่มาผิดปกติ 2. จากการกินอาหารบางชนิดที่สารพิวรีนสูง ซึ่งสารชนิดนี้เมื่อกินเข้าไปแล้ว จะย่อยสลายกลายเป็นกรดยูริก ซึ่งสารพิวรีนนี้พบมากในเนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่ เครื่องในสัตว์ ถั่วต่าง ๆ

@@@@คนที่เป็นโรคเกาต์ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาการจะค่อย ๆ กำเริบ โดยเจ็บปวดที่ข้อเดิมก่อน แล้วจะเป็นที่ข้ออื่น ๆ ตามมา จนกระทั่งเป็นเกือบทุกข้อทั่วร่างกาย อาการปวดจะถี่ขึ้นและนานขึ้น จนเกิดอาการปวดตลอดเวลา ถ้าควบคุมไม่ได้จะพบว่า ข้อที่เคยอักเสบบ่อย ๆ กลายเป็นปุ่มก้อนขึ้นมา เนื่องจากการสะสมของกรดยูริกภายในข้อจำนวนมาก จนบางครั้งข้อที่ปวดนั้นเกิดการแตกออก และมีสารขาว ๆ คล้ายชอล์ก หรือยาสีฟันไหลออกมากลายเป็นแผลเรื้อรัง และในที่สุดข้อต่าง ๆ จะค่อย ๆ พิการ และใช้งานไม่ได้ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดนิ่วในไตตามมาได้อีกด้วย

@@@@อาหารที่มีพิวรีนน้อย ได้แก่ ธัญพืชต่าง ๆ ไข่ นม และผลิตภัณฑ์จากนม ผัก และผลไม้เกือบทุกชนิด (0-50 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม)
@@@@อาหารที่มีพิวรีนปานกลาง ได้แก่ ข้าวโอ๊ต เนื้อหมู เนื้อวัว ปลากะพงแดง ปลาหมึก ปู ถั่วลิสง ถั่วลันเตา หน่อไม้ ใบขี้เหล็ก สะตอ ผักโขม (50-100 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม)
@@@@อาหารที่มีพิวรีนสูง ได้แก่ เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ปีก ปลาดุก ปลาซาร์ดีน ปลาไส้ตัน กุ้ง ไข่ปลา น้ำต้มกระดูก น้ำสกัดเนื้อ ซุปก้อน กะปิ ชะอม กระถิน สะเดา เห็ด (150 มิลลิกรัมขึ้นไปต่ออาหาร 100 กรัม) วิธีป้องกันและบรรเทาอาการเจ็บป่วยจากโรคเกาต์ที่ดีที่สุดคือ การระมัดระวังในการเลือกรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง เพราะว่าจะทำให้เกิดการอักเสบของข้อขึ้นอีก อาหารที่ผู้เป็นโรคเกาต์ควรรับประทานให้มากคือ
@@@@1. อาหารจำพวกข้าว แป้ง เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานเพียงพอในการทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยไม่ต้องเผาผลาญโปรตีนที่มีอยู่ในกล้ามเนื้อ เพื่อให้เป็นพลังงาน เพราะว่าการเผาผลาญโปรตีนในลักษณะนี้จะทำให้มีการสลายกรดยูริกออกมาในกระแสเลือดมากขึ้น
@@@@2. คนเป็นโรคเกาต์ควรระวังไม่รับประทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะว่าเนื้อสัตว์เป็นแหล่งของโปรตีน ทำให้เกิดกรดยูริกได้มาก เช่นเดียวกันกับการทานอาหารไม่เพียงพอ แล้วร่างกายใช้โปรตีนที่สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อนั่นเอง จะทำให้เกิดอาการกำเริบได้
@@@@3. การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยป้องกันการสะสมของกรดยูริก และทำให้เกิดการขับกรดยูริกทางปัสสาวะมากขึ้น และสามารถป้องกันโรคนิ่วในไตได้อีกด้วย
@@@@4. นอกจากนี้ การรับประทานผัก และผลไม้ชนิดต่าง ๆ ให้มากขึ้นก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะช่วยให้ปัสสาวะมีสภาวะเป็นด่าง ลดความเป็นกรด ส่งผลให้เกิดการขับปัสสาวะมากขึ้น เมื่อรู้ว่าเป็นโรคเกาต์แล้ว ควรปฏิบัติตนอย่างไร กินอาหารอย่างไร อะไรที่กินได้ อะไรที่ควรหลีกเลี่ยง ก็จะช่วยลดอาการเจ็บปวดลงได้ และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการเรื้อรังได้อีกเช่นกัน ดังนั้นหันมาใส่ใจกับอาหารที่เรากินกันเสียตั้งแต่วันนี้จะดีกว่า เพื่อจะได้มีสุขภาพที่แข็งแรงปลอดภัยจากโรคร้ายต่าง ๆ

ที่มา : ku.ac.th

ข้าวกล้องงอก' ช่วยให้อารมณ์ดี

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ข้าวกล้องงอก' ช่วยให้อารมณ์ดี [30 ส.ค. 51 - 00:25]
เชื่อหรือไม่ว่าข้าวกล้องที่เราเห็นกันอยู่โดยทั่วไปนั้น เมื่อนำไปผ่านกรรมวิธีแช่น้ำให้ส่วนของจมูกข้าวงอกออกมา กลับยิ่งเพิ่มคุณค่าของข้าวให้เพิ่มขึ้นกว่าเดิม คุณค่าที่เพิ่มนั้นก็คือสาร กาบา หรือ GABA (Gamma-Aminobutyric acid) ซึ่งนักวิจัยไทยได้ค้นพบนวัตกรรมใหม่ผลิตข้าวกล้องงอกออกมาระยะหนึ่งแล้ว
“กาบา” นั้นเป็นสารที่เกิดขึ้นในเมล็ดข้าว ขณะที่ข้าวเริ่มงอก แตกตุ่มรากสีขาวบริเวณจมูกข้าว ช่วงนี้จะมีสารกาบามาก และจะหายไปเมื่อข้าวสร้างใบและรากออกมา กาบาเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับการส่งสัญญาณของระบบประสาท จากประสาทต่อประสาทในสมองส่วน กลางและบริเวณประสาทตา (re-tina) มีคุณสมบัติเป็นสารที่ช่วยผ่อนคลาย ทำให้จิตใจสงบ ลดความเครียด ลดความกังวล และลดอาการชัก สารกาบายังกระตุ้นให้หลั่งฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต และมีบทบาทสำคัญในการ เผาผลาญไขมันเพื่อให้พลังงานและสร้างกล้ามเนื้ออีกด้วย
การทำข้าวกล้องงอกนั้นก็ทำได้ไม่ยาก เราสามารถคัดเลือกข้าวกล้องมาทำเองได้ด้วย โดยเครือข่ายจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ บอกวิธีการทำไว้ว่า ให้นำข้าวกล้องไปแช่น้ำ ปริมาณเท่ากับการหุงข้าวกล้องปกติ แช่น้ำไว้อย่างน้อย 4 ชั่วโมง นำไปล้างด้วยน้ำสะอาดอย่างเบามือ เทข้าวลงบนผ้าสะอาดและมีความหนานุ่ม ห่อคลุมด้วยผ้าให้มิดชิด รดน้ำพอชุ่ม อย่าให้แฉะ แต่มีอากาศให้หายใจ และระบายอากาศทิ้งไว้ 1 วัน 1 คืน หลังจากนั้นจะเห็นว่าบริเวณจมูกข้าวมีส่วนที่ข้าวงอกออกมา สามารถนำมาหุงต้มรับประทานได้ทันที ข้าวกล้องงอกนี้สามารถเก็บใส่กล่องพลาสติกแช่เย็น เก็บไว้ได้ไม่เกิน 5 วันเพราะจะเสียความสดใหม่ อยากอารมณ์ดีก็ทดลองทำข้าวกล้องงอกตามสูตรที่ว่ามา แต่ถ้ายังไม่แน่ใจจะลองแวะไปชิมข้าวกล้อง งอกกันก่อนก็ได้ ที่ “ลานข้าวพื้นบ้าน-อาหารท้องถิ่น” ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 5 ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 3-7 กันยายนนี้ ที่เมืองทองธานี.

ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ และอายุยืน

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551

คำตอบคือกินสายกลาง กินสายกลางคือกินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง งดมื้อเย็น เปรียบตัว เราเป็นรถยนต์ ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินมื้อเช้า รถจึงจะวิ่งได้ ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด เติมอีกครั้ง ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้ สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโตๆ มีไข่แดงหนัก 50 กรัม ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลอรี่ ฉะนั้น 50กรัม ให้พลังงาน 450 แคลอรี่ จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้ โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้ 1.3 ก . ก . ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน 60 รอบต่อนาที ขี่อยู่นาน 60 นาที จะเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลท่วมตัว แต่ใช้พลังงานไปเพียง 300 แคลอรี่ ไข่ใบเดียวใช้ไม่หมดฉะนั้นถ้า กินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีกเพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ โดยตับเป็นผู้ทำงานนี้ ถ้าพลังงานเหลือมาก การเอาไปเก็บในที่ต่างๆก็มาก ทำให้อ้วน และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้น้อยลง อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน เช่นถ้าตันที่สมอง จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก ถ้าอุดตันที่ไตต้องล้างไต เปลี่ยนไต ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร ฉะนั้น การกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีกมื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง ยิ่งกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็วถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน
การไม่กินอาหารมื้อเย็นเป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลสสุขภาพดี อายุยืน และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ แต่ท่าน ต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน
วิธีฝึกมี 4 วิธี
1. ค่อยๆลดปริมาณอาหารมื้อเย็น ทีละน้อยๆเช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน เหลือ 1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน โดยมีข้อแม้ว่า หลังอาหารเย็นแล้วห้ามกินอาหารใดๆทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า พอกะเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ ต่อไปกินผักผลไม้สุดท้ายงดอาหารเย็น
2. ร่นเวลากินอาหารเย็น เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น 3 โมงเย็น ฯ
3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว
4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์ พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้ ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช.ม. กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า มื้อเที่ยงได้ทัน ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็นจึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน
ท่านทราบแล้วใช่ใหมว่า ทำไมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงบัญญัติให้พระฉันเพียง 2 มื้อ คือ เช้า กับ เพล

หวดสวิงไม้กอล์ฟยืดอายุอีกได้ 5 ปี

ข่าวจากนสพ. ไทยรัฐ 6 มิ.ย. 51

หวดสวิงไม้กอล์ฟยืดอายุอีกได้ 5 ปี ออกรอบแต่ละ หนเผาแคลอรีมาก

สวีเดนศึกษาพบว่านักกอล์ฟทั้งชายทั้งหญิงหนุ่มหรือแก่ และไม่ว่าเป็นคนมีฐานะอย่างใด ต่างสามารถยืดอายุตนเองขึ้นไปอีกได้ถึง 5 ปี โดยที่อัตราของการเสียชีวิตจะลดน้อยลงถึง 40%

คณะนักวิจัยของสถาบันคาโรลินสกาชื่อดังของสวีเดน ได้ศึกษาจากข้อมูลของนักกอล์ฟทั้งอาชีพและสมัครเล่น ทั้งหนุ่มและแก่รวมด้วยกัน 300,000 ราย โดยได้รายงานผลการศึกษา อยู่ในวารสารวิชาการ “เวชศาสตร์และวิทยาศาสตร์การกีฬา”

ศาสตราจารย์แอนเดอร์ อัลบอม หัวหน้าคณะศึกษาได้ชี้ว่า เมื่อนักกอล์ฟออกรอบแต่ละรอบ หมายความว่า จะต้องใช้เวลาอยู่ กลางแจ้งเป็นช่วงเวลานาน 4-5 ชม. จะต้องเดินเร็วเป็นระยะทาง 6-7 กม. ซึ่งจะเป็นคุณแก่สุขภาพของบุคคลผู้นั้นอย่างมหาศาล

มันเป็นเกมกีฬาที่ช่วยให้เผาผลาญแคลอรีได้มาก ลดไขมันและความเครียดในอัตราอย่างสบาย ในการเล่นแต่ละรอบ จะช่วยให้เผาผลาญพลังงานได้ราว 1,000 แคลอรี อีกทั้งการเดินเร็วๆ ซึ่งจำเป็นกับการเล่น ยังช่วยเพิ่มพูนความสามารถของหัวใจ หลอดเลือด และปอดกับทำให้เลือดลมเดินดีด้วย

ขณะที่แข่งอยู่ หัวใจของนักกอล์ฟจะเต้นในอัตราระหว่าง 90-120 ครั้งต่อนาที เป็นการค่อยๆปล่อยให้เผาผลาญไขมันไปอย่างราบรื่น อาจารย์แอนเดอร์เชื่อว่า ผลจากการศึกษาครั้งนี้ จะทำให้มีผู้นิยมเล่นกอล์ฟกันมากขึ้น นอกเหนือจากปัจจุบันที่ประมาณกันว่า มีคนเล่นกอล์ฟอยู่แล้วมากประมาณ 60 ล้านคน

อยากอายุยืนต้องปฏิบัติตนให้ได้

อยากอายุยืนต้องปฏิบัติตนให้ได้ ลดปริมาณ แคลอรีในร่างกายให้ลง [10 ก.ค. 51 - 00:18]

ถ้าหากอยากอายุยืน การศึกษาใหม่สุดพบว่า ไม่มีอะไรดีกว่า ให้พยายามลดปริมาณแคลอรีที่ร่างกายได้รับอยู่เป็นประจำลง จะช่วยให้ขบวนการความแก่ เฒ่าชะลอลงได้

อาจารย์เอดเวิร์ด ไวสส์ มหาวิทยาลัยเซนต์ หลุยส์ แห่งสหรัฐฯ หัวหน้าคณะนักวิจัยกล่าวว่า “การศึกษาทำให้ได้ หลักฐานว่า การจำกัดปริมาณแคลอรี ให้ผลในมนุษย์แบบเดียวกับที่พบในสัตว์

เขากับคณะต้องการศึกษาว่า การลดปริมาณแคลอรี จะช่วยให้ระดับของ “ที 3” ลดลง ไม่ใช่เพียงแต่ทำให้ปริมาณไขมันทั่วไปลดลงเท่านั้น จึงได้ศึกษากับกลุ่มชายหญิงวัยระหว่าง 50-60 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่แข็งแรงดี ปราศจากโรคหัวใจ ปอด เบาหวาน ความดันโลหิตสูงที่คุมไม่อยู่ และวี่แววของโรคเนื้อร้าย โดยจัดแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกถูกจำกัดปริมาณแคลอรี จะถูกจำกัดอาหารให้แคลอรีเหลือระหว่างวันละ 300-500 แคลอรีเท่านั้น กลุ่มที่สอง ถูกให้ออกกำลังและกินข้าวปลาตามปกติและกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มควบคุม

ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่ถูกจำกัดปริมาณแคลอรีกับกลุ่มที่ถูกให้ออกกำลังเท่านั้น จึงจะมีปริมาณไขมันในร่างกายลดลง และกลุ่มที่ควบคุมแคลอรี ยังปรากฏว่าปริมาณฮอร์โมนไทรอยด์ลดลงด้วย.

เผด็จศึกลดน้ำหนักลงให้ได้

เผด็จศึกลดน้ำหนักลงให้ได้ ต้องออกกำลังหนักนานไม่ต่ำวัน 1 ชม. [4 ส.ค. 51 - 00:25]

คณะผู้เชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัยพิตส์เบิร์กพบ ในการศึกษาจากหญิงทั้งที่น้ำหนักเกินและอ้วนเกินปกติกลุ่มหนึ่ง เป็นเวลาถึง 4 ปีว่า คนเราจะต้องออกกำลังให้ได้นานวันละอย่างต่ำ 55 นาที จึงจะทำให้น้ำหนักลดได้ถึงร้อยละ 10 สำเร็จ แต่ ปรากฏว่า ในจำนวนผู้หญิง 200 คน ที่จะสามารถลดน้ำหนักได้เท่านั้นสำเร็จ จะมีแค่ 1 ใน 4 เท่านั้น

รายงานการศึกษา เปิดเผยในวารสารวิชาการ “อายุรเวช” กล่าวว่า การออกกำลังมากเป็นเคล็ดสำคัญในการลดน้ำหนักลงได้สำเร็จ และยิ่งควบคุมอาหารการกินไปด้วย ก็จะยิ่งช่วยให้น้ำหนักลดง่ายที่สุด

นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า การออกกำลังที่คนส่วนใหญ่ทำกัน ออกกำลังขนาดปานกลาง วันละไม่ต่ำกว่า 30 นาที อาทิตย์ละ 5 วัน ก็ยังไม่พอที่จะป้องกันไม่ให้น้ำหนักกลับเพิ่มขึ้นได้ จะต้องออกให้มากกว่านั้นขึ้นอีก เฉลี่ยแล้วอาทิตย์นาน 275 นาที.

ความจำเสื่อมกับ เป็นอัมพาต

กินปลามันๆไว้ประจำเพื่อป้องกัน ความจำเสื่อมกับ เป็นอัมพาต [7 ส.ค. 51 - 00:14]

นักวิจัยชาติสแกนดิเนเวียแนะนำให้กินปลาทูน่าและปลาที่มีไขมัน จะป้องกันความจำเสื่อมและลดความเสี่ยงที่จะเป็นอัมพาตลงได้

นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยคุโอเปียว ที่ฟินแลนด์ กล่าวว่า ได้พบในการศึกษาด้วยการตรวจสมองผู้สูงอายุ วัยไม่ต่ำกว่า 65 ปีขึ้นไป 3,660 คน เพื่อดูประโยชน์ของการกินปลาที่มีต่อร่องรอยเนื้อตายบนสมองพบว่า ผู้ที่กินปลาพวกที่มีกรดไขมันโอเมกา-3 อุดม ที่ย่างหรือปิ้งไม่ใช่ทอด อาทิตย์ละ 3 มื้อ จะลดโอกาสที่จะพบรอยเนื้อตายมากถึงเกือบ ร้อยละ 26 ในขณะที่ผู้ที่กินเพียงอาทิตย์ละหนึ่งหน ก็ลดโอกาสลงได้ร้อยละ 13 เทียบกับคนที่เกลียดปลา หากแต่ว่าผู้ที่กินปลาที่ซึ่งทำให้สุกด้วยการทอด จะไม่ได้คุณประโยชน์ เรื่องนี้อันใดเลย

ปลาที่มีกรดไขมันโอเมกา-3 มักได้แก่ ปลาแซลมอน ซาร์ดีน เฮอริง และอาหารอย่างอื่น เช่น ถั่ววอลนัท มีคุณประโยชน์ในทางป้องกันการอักเสบ และลดโอกาสที่จะเป็นโรคหัวใจให้น้อยลงด้วย.


ติดต่อโฆษณา นสพ.ไทยรัฐออนไลน์ โทร 0-2636-0726

บอกลา 'เครื่องดื่มแอลกอฮอล์'

เทคนิคบอกลา 'เครื่องดื่มแอลกอฮอล์' [9 ส.ค. 51 - 00:10]

ข้อมูลจากโครงการงดเหล้าเข้าพรรษาที่ดำเนินการเข้าสู่ปีที่ 6 แล้ว พบว่าพฤติกรรมการ “ดื่มเหล้า” ของคนไทยนั้น เป็นการ “ดื่มทางสังคม” ดังนั้น หากจะรณรงค์ให้คนเลิกเหล้า ก็ต้องโยงกับการเปลี่ยนแปลงค่านิยมด้วย

“งดเหล้าเข้าพรรษา” เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ทดลองให้คอเหล้าหันมาลองเลิกในเวลาที่กำหนดคือ 3 เดือน แม้จะล่วงเข้าพรรษามากว่าเดือนแล้ว แต่คงยังไม่สายหากใครจะเริ่มคิดเลิกเหล้าตอนนี้ โดยจะขอนำเอา เทคนิค “หยุดดื่ม” จากจดหมายข่าวชุมชนคนรักสุขภาพ “สร้างสุข” เดือนกรกฎาคม 2551 มาฝากกัน

ข้อแรกให้ลองเขียนเหตุผลว่าทำไมจึงควรหยุดดื่มเหล้า อาจขอความช่วยเหลือจากคนในครอบครัว หรือเพื่อนสนิท ลิสต์รายการเหล่านี้จะช่วยเตือนสติยามที่ความตั้งใจของคุณอ่อนลง

ข้อสอง เป็นการลงมือทำความตั้งใจ โดยกำหนดวันที่จะเริ่มหยุดดื่ม เขียนวันที่ตั้งใจจะเริ่มหยุดดื่มใส่กระดาษแปะไว้ที่ตู้เย็น หรือกระจกในห้องน้ำ หรือที่ใดก็ตามที่เห็นได้บ่อย

ถัดมา ให้บอกความตั้งใจของคุณให้คนอื่นรับรู้ด้วย เช่น บอกคนในครอบครัว หรือเพื่อน ๆ และบอกพวกเขาว่าเขาจะช่วยให้คุณทำตามความตั้งใจให้สำเร็จได้อย่างไร

ข้อสี่ ระหว่างที่หยุดดื่มนั้นให้หันมาดูลิสต์ รายการเหตุผลที่เขียนไว้ในข้อแรกบ่อยๆ และถ้าได้ พบประโยชน์เพิ่มก็ให้เขียนเพิ่มลงได้

ข้อห้า หากพลาดพลั้งเผลอกลับไปดื่มในระหว่างที่ตั้งใจงด ก็ให้ถือเป็นประสบการณ์เพื่อเรียนรู้และเริ่มต้นใหม่ด้วยความตั้งใจที่มากกว่าเดิม

ข้อหก หลังประสบความสำเร็จในการหยุดดื่มในช่วงเวลาที่ตั้งใจไว้ จงทำมันอีกครั้ง โดยต่อเวลาออกไปอีก อาจลองหยุดอีก 3 เดือน เมื่อทำไปเรื่อยๆ มันก็จะกลายเป็นความเคยชิน

ข้อเจ็ด หากความตั้งใจหยุดดื่มนั้นไม่สำเร็จอาจลองปรึกษาแพทย์เพื่อให้ช่วยคุณอีกทางหนึ่ง

ข้อแปด อีกวิธีที่อาจช่วยได้คือหลีกเลี่ยงสิ่งใดก็ตามที่จะทำลายความตั้งใจของคุณ นั่นหมายถึงว่าอาจต้องเปลี่ยนชีวิตที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ คบเพื่อนใหม่ ใช้ชีวิตแบบใหม่ที่ต่างไปโดยสิ้นเชิง

ข้อเก้า เล็งเป้าหมายของคุณให้แม่นๆ และคุณจะประสบความสำเร็จในที่สุด.


ติดต่อโฆษณา นสพ.ไทยรัฐออนไลน์ โทร 0-2636-0726

'สมองไว' อยู่ในร่างกายที่ดี


หลักฐานยัน 'สมองไว' อยู่ในร่างกายที่ดี ถึงเสียหาย ก็ยังฟื้นคืนใหม่เร็ว [18 ส.ค. 51 - 00:11]

ผลของการศึกษาทบทวน ยังกล่าวแจ้งว่า การกินอาหารที่ถูกส่วนและออกกำลังเป็นประจำ จะช่วยคุ้มครองสมองและป้องกันจิตพิการได้ ซึ่งอาจสรุปสั้นๆ ได้ว่า การออกกำลังทำให้สมองไว ความจำดี ความคิดแจ่มใส และแม้เมื่อสมองจะเสียหาย จากโรคหลอดเลือดสมอง ก็ยังกลับฟื้นคืนปกติอย่างง่ายดาย อีกทั้งไม่ค่อยจะกลายเป็นคนซึมเศร้า และสติปัญญาเสื่อมถอยลงเพราะความแก่ชรา

นักวิจัยเฟอนันโด โกเมซ-พินิลลา แห่งมหาวิทยาลัยยูซีแอลเออันมีชื่อของสหรัฐฯ กล่าวว่า “เหมือนกับความหิว การออกกำลังเป็นการก่อความตึงเครียดให้กับร่างกาย บางครั้งมันก็กลายเป็นผลดีบ่อยๆ มันช่วยเผาผลาญแคลอรีได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งเป็นการออกกำลังแบบแอโรบิก ซึ่งคุกคามกับพลังสำรองของร่างกายอย่างหนัก เมื่อพบวี่แววอันตรายนี้เข้า ร่างกายก็จะรีบเร่งป้องกัน ส่วนที่จำเป็นต้องใช้พลังงาน และมีความสำคัญที่สุด นั่นคือ สมอง”

เขาบอกต่อไปว่า “หน่วยประสาทของคนเรา อ่อนไหวกับการขาดพลังงานที่สุด ชั่วเพียงขาดลงสัก 1 นาที มันก็จะตาย ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทางสรีรวิทยาของร่างกายทั้งหมดของเรา จึงได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ช่วยปกป้องสมอง

ยาอายุยืนสำหรับนักกอล์ฟ


อานุภาพความสุขอยู่ที่ใจ ยืดอายุขัยออกไปได้นานถึง 10 ปี [19 ส.ค. 51 - 00:35]

ศาสตราจารย์ฮอลันดาพบจากการทบทวนสะสาง รายงานการศึกษาของทั่วโลก ที่ได้ทำไว้นานตั้งแต่ 1-60 ปี บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า คนที่ทำใจให้เป็นสุขไม่ทุกข์ ไม่ร้อน จะทำให้อายุขัยยืนออกไปได้อีกมากถึง ตั้งแต่ 7.5-10 ปีได้

ศาสตราจารย์รุท วีนเฟน มหาวิทยาลัยอีรัสมัส ที่กรุงรอตเตอดัม กล่าวว่า ความสุขไม่ใช่จะไปรักษาโรคภัยที่เป็นอยู่ ให้หาย หากแต่มันช่วยป้องกันไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วย เทียบอิทธิพลของมัน อาจเทียบได้กับคนสูบบุหรี่ กับคนไม่ได้สูบ

รายงานผลการศึกษากล่าวว่า “ในคนแข็งแรง ความสุขดูเหมือนจะช่วยป้องกันไม่ให้เจ็บป่วย นั่นก็คือ เท่ากับต่ออายุให้ยืนยาว คนที่มีความสุขจะหมั่นเฝ้าระวังน้ำหนักตัวเอง คอยสังเกตอาการของโรคภัยต่างๆ ใช้ชีวิตอย่างเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย จะกินเหล้า เมายาก็เพียงแค่สัณฐานประมาณ

ความรู้ใหม่นี้ นับเป็นการค้นพบ ชิ้นส่วนสำคัญ ที่นักวิจัยทั่วโลกกำลังเพียรพยายามค้นหาอยู่ เพื่อจะใช้ไขปริศนา ว่า สิ่งใดทำให้เรามีความสุข ตลอดจน ปัญหาที่สงสัยกันว่า เหตุใดเศรษฐีตามชาติที่กำลังพัฒนาต่างๆ แม้จะมั่งมีศรีสุข เพียงไร ก็ยังไม่รู้สึกพออกพอใจในชีวิต.